- ประเทศต้องเดินหน้าได้Posted 10 hours ago
- เด็กไทยต้องทำชีวิตก้าวหน้าPosted 1 day ago
- ยุคทะเลเดือดPosted 3 days ago
- รวยลัดเป็นเปลวนรกPosted 3 days ago
- คนทำบุญลดลงPosted 6 days ago
- ใช้สติปัญญาสู้ปัญหาPosted 1 week ago
- คนดีต้องไม่โกงPosted 1 week ago
- หมูเด้งแซงหน้ารัฐบาลPosted 1 week ago
- ผีซ้ำด้ำพลอยPosted 2 weeks ago
- ถ้าผลงานเข้าตาไม่มีใครไล่Posted 2 weeks ago
13ปีรัฐประหาร19กันยา2549 จาก‘เสียของ’มาเป็น‘ของเสีย’
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 20-27 กันยายน 2562)
เพิ่งผ่านวันที่ 19 กันยายน 2562 มาหมาดๆ สื่อหลายสำนักมีบทความ 13 ปีรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ในมุมมองต่างๆกันออกมา เพื่อรำลึกว่าครั้งหนึ่งเมืองไทยเคยมีเหตุการณ์ที่ต้องถูกบันทึกเอาไว้
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งทศวรรษเศษที่ผ่านมานั้นจะเกิดขึ้นได้มากถึง 2 ครั้ง โดยห่างกันไม่ถึง 8 ปีคือ การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แม้ว่าผู้นำการรัฐประหารจะไม่ใช่คนเดียวกัน แต่การรัฐประหารนั้นก็เกิดจากคนที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันคือ ผบ.ทบ. หรือผู้บัญชาการทหารบก ความหมายคือผู้ที่ทำรัฐประหารได้ต้องเป็นผู้ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นผู้คุมกำลังที่สามารถใช้อาวุธเหล่านั้นได้
การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งใช้เหตุผลเดียวกันอย่างหนึ่งคือ ประชาชนแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งก่อนมีการรัฐประหารจะมีการประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเสมอ และม็อบจะสลายตัวทันทีเมื่อทำการรัฐประหารสำเร็จ พร้อมกับเหตุผลสนับสนุนของผู้ทำรัฐประหารว่าไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อแม้แต่หยดเดียว
แต่หลังการประท้วงครั้งใหญ่อาจไม่ได้จบลงด้วยการรัฐประหารเสมอไป อย่างเช่นการประท้วงเรียกร้องรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ของกลุ่มคนเสื้อแดงและ นปช. ที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 เหตุการณ์นั้นรัฐบาลสั่งการให้มีการใช้กระสุนจริง มีสไนเปอร์อยู่บนตึกสูง มีรถหุ้มเกราะ มีหน่วยกำลังออกมาปราบผู้ประท้วง ที่สำคัญ “มีคนตาย” 99 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน เหตุการณ์จบลงด้วยแกนนำผู้ชุมนุมหลายคนติดคุก ผู้ชุมนุมหลายคนบาดเจ็บล้มตาย ผู้สื่อข่าวต่างประเทศตาย นายทหารคุมกำลังเสียชีวิต ส่วนรัฐบาลขณะนั้นบริหารประเทศต่อไปได้เป็นปกติ ผู้คนโศกเศร้าเสียใจกับอาคารสรรพสินค้าบางแห่งที่ถูกไฟไหม้ พร้อมกับวลี “เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง” แต่แทบไม่มีใครโศกเศร้ากับคนตาย คนพิการจากการใช้กระสุนจริง
ตัดภาพกลับไปที่การรัฐประหาร 19 กันยา 2549 อีกครั้ง หลังการรัฐประหารครั้งนั้นประเทศไทยได้ “รัฐบาลขิงแก่” ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2550 มาใช้ และกลับสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง
ผลการเลือกตั้งได้พรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศชัดเจนว่าตนเองเป็นนอมินีของอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นที่มาของคำว่า “รัฐประหารเสียของ”
ครั้นจะเกิดการรัฐประหารซ้ำอย่างทันทีทันใดก็ออกจะดูน่าเกลียดเกินไป บทบาทของ “ตุลาการภิวัฒน์” จึงเข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งดูเหมือนว่าการรัฐประหารโดยตุลาการนั้นแนบเนียนและได้ผลไม่แพ้กัน
การทำกับข้าวออกทีวีจึงเป็นความผิดมหันต์ คำว่า “ลูกจ้าง” ในพจนานุกรมไทยอยู่เหนือตำรากฎหมาย นายสมัครจึงตกจากเก้าอี้นายกฯ แม้มีช่องกฎหมายเปิดโอกาสให้โหวตกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง แต่ “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” หมดเวลานอมินีชั่วคราว สายตรงนายห้างสั่งให้ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขย ขึ้นมานั่งตำแหน่งแทนนายสมัครที่ต้องน้ำตาตกใน หายหน้าไปจากการเมือง และเสียชีวิตด้วยโรคร้ายในเวลาต่อมา
นายสมชายเป็นนายกฯคนแรกและคนเดียวของไทยที่ไม่เคยเหยียบเท้าเข้าทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ประท้วงไล่รัฐบาลทักษิณสำเร็จจนเกิดรัฐประหาร 19 กันยามาแล้ว ยังคงประท้วงพาคนบุกยึดทำเนียบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
การแก้เกี้ยวด้วยการตั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวขึ้นที่สนามบินดอนเมืองให้นายกฯสมัครและนายสมชายรับไม้ต่อ ทำให้สนามบินดอนเมืองกลายเป็นเป้าหมายถูกปิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ และลุกลามไปจนถึงการปิดกั้นสนามบินสุวรรณภูมิจนเกิดหายนะครั้งใหญ่ ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว แต่ไม่มีกองทัพมาปราบแต่อย่างใด ปล่อยให้ “ตุลาการภิวัฒน์” ทำงานแทนต่อไป ส่งผลให้ยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้นายสมชาย “น้องเขย” ตกเก้าอี้นายกฯทันที ต่อมาจึงกำเนิด “ภาพกอดสยิว” ระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีที่เกิดจาก “ดีลพิเศษ” ในค่ายทหารอีกครั้ง
“ประเทศไทยโชคดีที่ได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ” คือคำพูดของ “ป๋า” รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์นี้เองคือช่วงที่เดือนเมษา-พฤษภา 2553 เกิดเหตุ “ที่นี่มีคนตาย 99 ศพ” เมื่อมีการเรียกร้องขอหีบเลือกตั้ง แต่กลับได้หีบศพแทน
รัฐบาลอภิสิทธิ์อยู่ครบวาระต้องเลือกตั้งใหม่ นายห้างดูไบส่งน้องสาว “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เข้าประกวดในนามพรรคใหม่ชื่อ “เพื่อไทย” แต่โลโก้พรรคแทบไม่ได้ต่างจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน “ปู” ใช้เวลาเดินทางสั้นที่สุดเพียง 49 วันในการหาเสียง ก้าวสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
ตอกย้ำคำว่า “รัฐประหารเสียของ” ให้ฝังแค้นแน่นหนักยิ่งขึ้น
เส้นทางเดินในการบริหารประเทศของยิ่งลักษณ์นั้นถูกโรยด้วย “ก้านกุหลาบ” ที่เต็มไปด้วยหนาม หาใช่กลีบดอกกุหลาบไม่
ว่าตามจริงแล้วลำพังแค่ขวากหนามมิอาจทิ่มแทงและตำทะลุรองเท้าบู๊ตลายสกอตสุดไฮโซ “เบอร์เบอร์รี่” จากอังกฤษได้ง่ายนัก
แทนที่จะใช้โอกาสในการบริหารประเทศและแก้ไขกฎหมายให้เป็นธรรม เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างถล่มทลาย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่สุดท้ายรัฐบาลชินวัตร 2 กลับเดินสะดุดรองเท้าบู๊ตลายสกอตของตัวเองด้วยการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมยกเข่งในแบบที่คนพวกเดียวกันเองยังต้องส่ายหน้าว่าทำไปได้อย่างไร
กปปส. หรือกระบวนการนกหวีดที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้ตำแหน่งว่า “เลขาธิการ กปปส.” (จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นประธาน กปปส.) ยกระดับการชุมนุมจากการต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมยกเข่งไปสู่รัฐบาลในที่สุด
กลับไปอ่านด้านบน.. แทบทุกครั้งที่มีการประท้วงครั้งใหญ่ ถ้ากองทัพไม่ทำตามคำสั่งรัฐบาลขณะนั้น และไม่ออกมาห้ามปรามผู้ชุมนุม สิ่งที่ตามมาก็คือ การรัฐประหาร
การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จึงเกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขีดเส้นใต้ว่า “รัฐประหารรอบนี้ต้องอย่าให้เสียของ”
ประเทศไทยจึงได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร ได้รัฐบาลจากรัฐบาลเผด็จการ ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบพิลึกพิลั่น แม้ได้การเลือกตั้งกลับคืนมา แต่ผลการนับคะแนนเลือกตั้งกลับพิสดารพันลึก ได้ ส.ส. จากบัตรเขย่งและการปัดเศษเพราะ กกต. ดันทำเครื่องคิดเลขหาย
ภายใต้กติกาการเลือกตั้งที่พิสดาร ภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปีที่กำหนดเอาไว้จนแทบจะรากงอก
หลังการรัฐประหาร 19 กันยา ถูกมองว่าเสียของ.. หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภา นอกจากจะได้รัฐบาลเผด็จการ เรายังได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม 2 สมัย แม้จะเป็น “ของเสีย” แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ “เสียของ” อย่างแน่นอน
แย่ไปกว่านั้น แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จาก “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ. ที่สุดท้ายเป็นแค่ผังล้มเจ้ากำมะลอ วันนี้เรามีผังใหม่ “โครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ” มาวางไว้บนโต๊ะทั่นผู้นำอีกแล้ว
ความวุ่นวายแตกแยกในบ้านเมืองเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
ว่ากันตามจริงแล้ว ตัวละครหลายตัวยังมีชีวิตอยู่จริง แต่ทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่กล้าที่จะพูด ที่จะเปิดเผยอะไรออกมา ตัวละครหลายตัวที่เสียชีวิตไปแล้วก็ทิ้งไว้เพียงแต่คำพูดที่ว่า “ถึงตายก็พูดไม่ได้”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกจำคุกด้วยข้อหาโกง ไม่ใช่คดีการเมือง แม้พ้นโทษออกมาเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด แต่ทุกอย่างไหลไปตามกติกา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อย่าลืมว่าครั้งหนึ่งเขาถูกถล่มเอาชีวิตหลังเสร็จภารกิจใหม่ๆด้วยอาวุธสงครามหลายร้อยนัด เฉียดตายถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลและผ่าตัดสมอง เมื่อพ้นขีดอันตรายและกลับมาสู่การใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เขาก็ปิดปากไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
เขาพ้นโทษออกมาครั้งนี้.. สังคมไทยก็ยังไม่รู้ว่าบุคคลซึ่งจุดไม้ขีดก้านแรกบนเชื้อเพลิงอย่างดียี่ห้อทักษิณจนก่อให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 2549 จะพูดอะไรได้มากน้อยแค่ไหน
ในทำนองเดียวกัน “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นตัวละครตัวหลักและยังมีตัวเป็นๆ จะกล้าเปิดเผยความจริงอะไรได้สักแค่ไหน ในเมื่อธุรกิจ ลูกหลาน และเครือญาติ ยังต้องอยู่ทำมาหากินในแผ่นดินไทยต่อไป
13 ปีนับแต่รัฐประหาร 19 กันยา และเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงไม่สามารถมองได้เพียงด้านเดียวว่า “ใครดี-ใครชั่ว” เพราะเบื้องหลังของเบื้องหลังยังมีเบื้องหลังอีก
แต่ที่สังคมควรจะเรียนรู้ก็คือ เราต้องถอยออกมาคิดสักนิดว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดต่อเนื่องมาถึงวันนี้ เราเองมีส่วนอะไรบ้างที่ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายมาถึงขนาดนี้ด้วยหรือไม่
ทำไมคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร และเป็น “มิตร” มาโดยตลอด กลับกลายเป็น “ศัตรู” ขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน แล้วทำไมเขาจึงถูกถล่มด้วยอาวุธสงครามสาหัสเฉียดตาย แม้ไม่แปลกใจเพราะต้องติดคุกด้วยคดีอาญา แต่ก็แปลกใจที่สามารถออกมาด้วยกติกาตามกฎหมายอย่างรวดเร็ว
คนที่ไม่เคยติดคุก เพราะไม่มีใครยอมติดคุกด้วยคดีการเมืองและความไม่ยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จริงๆเป็นคนละเรื่องกับคนที่ต้องติดคุกด้วยคดีโกง แต่ที่ต้องติดคุกคำพูดของตนเองที่เคยหลุดปากว่า “คนเสื้อแดงจะต้องไม่ตายฟรี” .. “พี่น้องคนเสื้อแดงพายเรือส่งผมถึงฝั่งแล้ว” .. แต่สุดท้ายกลับตกม้าตายด้วย “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” จากการลักหลับข้ามคืนกลางสภา .. จึงเป็นเรื่องที่ต้องนำมาเป็นบทเรียนด้วยเช่นกัน
คำว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ไม่ว่าจะอยู่ฟากฝ่ายใด ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตนทั้งนั้น
13 ปีหลังการรัฐประหาร ให้บทเรียนอะไรกับสังคมไทยบ้าง
เห็นทีต้องสำรวจตัวเองด้วยกันทุกฝ่าย!!??
You must be logged in to post a comment Login